อนุทินครั้งที่4
วัน ศุกร์ ที่ 25 เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2557
วัน ศุกร์ ที่ 25 เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2557
1.องค์ความรู้ที่ได้รับ
AECคืออะไร
AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ โดยมี ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, บรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน จะมีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone นั่นเอง จะทำให้มีผลประโยชน์, อำนาจต่อรองต่างๆ กับคู่ค้าได้มากขึ้น และการนำเข้า ส่งออกของชาติในอาเซียนก็จะเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า (เรียกว่าสินค้าอ่อนไหว)
Asean จะรวมตัวเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและมีผลเป็นรูปธรรม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 ณ วันนั้นจะทำให้ภูมิภาคนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก
อ่านต่อ: http://www.thai-aec.com/41#ixzz391fsShxJ
ที่มาของเว็บ http://www.thai-aec.com/
ที่มาของรูป http://aec.kapook.com/
ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจาก AEC (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน)
ประชาคมอาเซียนที่จะถือกำเนิดในปี 2558 นั้น คนไทยจะได้ประโยชน์อะไร แน่นอนเราคงอยากทราบ แต่ในชั้นนี้ขอจำกัดเฉพาะทางเศรษฐกิจก่อน
ประการแรก ไทยจะ “มีหน้ามีตาและฐานะ” เด่นขึ้นประชาคมอาเซียนจะทำให้เศรษฐกิจ “ของเรา” มีมูลค่ารวมกัน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีขนาดใหญ่อันดับ 9 ของโลก ยังประโยชน์แก่คนไทยทุกคนที่จะได้ยืนอย่างสง่างาม “ยิ้มสยาม” จะคมชัดขึ้น
ประการที่สอง การค้าระหว่างไทยกับประเทศอาเซียนจะคล่องและขยายตัวมากขึ้น กำแพงภาษีจะลดลงจนเกือบจะหมดไป เพราะ 10 ตลาดกลายเป็นตลาดเดียว ผู้ผลิตจะส่งสินค้าไปขายในตลาดนี้และขยับขยายธุรกิจของตนง่ายขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็จะมีทางเลือกมากขึ้นราคาสินค้าจะถูกลง
ประการที่สาม ตลาดของเราจะใหญ่ขึ้น แทนที่จะเป็นตลาดของคน 67 ล้านคน ก็จะกลายเป็นตลาดของคน 590 ล้านคน ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ เพราะสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยสามารถส่งออกไปยังอีกเก้าประเทศได้ราวกับส่งไปขายต่างจังหวัด ซึ่งก็จะช่วยให้เราสามารถแข่งขันกับจีนและอินเดียในการดึงดูดการลงทุนได้มากขึ้น
ประการที่สี่ ความเป็นประชาคมจะทำให้มีการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารคมนาคมระหว่างกันเพื่อประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุน แต่ก็ยังผลพลอยได้ในแง่การไปมาหาสู่กัน ซึ่งก็จะช่วยให้คนในอาเซียนมีปฏิสัมพันธ์กัน รู้จักกัน และสนิทแน่นแฟ้นกันมากขึ้น เป็นผลดีต่อสันติสุข ความเข้าใจอันดีและความร่วมมือกันโดยรวม นับเป็นผลทางสร้างสรรค์ในหลายมิติด้วยกัน
ประการที่ห้า โดยที่ ไทยตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางบนภาคพื้นแผ่นดินใหญ่อาเซียน ประเทศไทยย่อมได้รับประโยชน์จากปริมาณการคมนาคมขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นในอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับจีน (และอินเดีย) มากยิ่งกว่าประเทศอื่นๆ
บริษัทด้านขนส่ง คลังสินค้า ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ จะได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน จริงอยู่ ประชาคมอาเซียนจะยังผลทั้งด้านบวกและลบต่อประเทศไทย ขึ้นอยู่กับพวกเราคนไทยจะเตรียมตัวอย่างไร แต่ผลทางบวกนั้นจะชัดเจน เป็นรูปธรรมและจับต้องได้
ที่มาของเว็บ http://www.afmgroup.com/
AECกับการท่องเที่ยวไทย
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเข้มแข็งและสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ จนกลายเป็นหนึ่งธุรกิจท่องเที่ยวและบริการสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้ทุกวันนี้ “Amazing Thailand” Brand ได้สร้างความน่าสนใจอย่างกว้างขวางในหมู่นักท่องเที่ยว
แผนกลยุทธ์ด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน 2554-2558 ได้คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังประเทศอาเซียนในปี 2558 มีจำนวนถึง 107.39 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวเดินทางในประเทศอาเซียนกว่า 80 ล้านคน ขณะเดียวกันเดินทางเข้ามาในประเทศไทยกว่า 20 ล้านคน ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทยที่ได้รับความนิยม จะเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ เดินทางมาท่องเที่ยวในเชิงสุขภาพ โดยไทยเป็นประเทศอันดับ 2 ของเอเชีย ที่ชาวต่างชาติเลือกที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในเชิงสุขภาพ รองจากประเทศสิงคโปร์และประเทศอินเดีย อยู่ในอันดับ 3 ส่วนการท่องเที่ยวอีกประเภท คือ การท่องเที่ยวในเชิงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
การเปิดเสรีบริการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งรวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องภายใต้กรอบอาเซียนแต่ขณะเดียวกันก็ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าแนวโน้มการแข่งขันในอนาคตจะยิ่งทวีความเข้มข้นเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน การเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในเมืองไทยด้วยการถือครองสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มมากขึ้น จากคู่แข่งทั้งรายเดิมและรายใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดการให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามแนวโน้มมูลค่าเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนโดย หากจะพิจารณารายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่ผ่านมา สามารถแสดงข้อมูลได้ดังนี้
ที่มา : ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
จากข้อมูลข้างต้นรายได้ของประเทศไทยที่มาจากการท่องเที่ยว 592,794 ล้านบาท ในปี 53 และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลประมาณการรายได้ในปี 54 ไว้ที่ 700,000 ล้านบาท เติบโตในอัตรา 18% ชึ้ให้เห็นถึงศักยภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีแนวโน้มในทิศทางที่ดี
สถานที่ท่องเที่ยวของไทยที่เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ จากผลการสำรวจของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปี 2554 ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูล จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 69 ประเทศ
แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองไทย 10 อันดับแรก ปี 2554
อันดับที่
แหล่งท่องเที่ยว
จังหวัด
1
หมู่เกาะพีพี กระบี่
2
เกาะเต่า สุราษฎร์ธานี
3
หาดพัทยา ชลบุรี
4
อัลคาซาร์ คาบาเรต์ ชลบุรี
5
หาดป่าตอง ภูเก็ต
6
เกาะเสม็ด ระยอง
7
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน พังงา
8
ตลาดนัดจตุจักร กรุงเทพฯ
9
อ่าวมาหยา กระบี่
10
หาดจอมเทียน ชลบุรี
ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
จากข้อมูลพบว่า แหล่งท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาตินิยม 10 อันดับแรก ส่วนใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล อันดับที่ 1 คือ หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ อันดับที่ 2 เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎรธานี อันดับที่ 3 หาดพัทยา จังหวัดชลบุรี เป็นต้น
หากจะเปรียบเทียบสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่ม อาเซียน กับ ปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามา ท่องเที่ยวในประเทศไทย ปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในปี 54 มีมากกว่า 19 ล้านคน มีอัตราการเติบโตถึง 20% และเป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียน คิดเป็นร้อยละ 26 และใน ปี 55 (ม.ค. – เม.ย.) ประเทศไทยยังคงมีนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียน คิดเป็นร้อยละ 24 ที่เห็นได้ชัดคือนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
จำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศ ASEAN ที่ให้ความนิยมมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากที่สุด คือ มาเลเซีย ลาว และ สิงค์โปร ตามลำดับ และเห็นได้ชัดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวของทุกประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวในปี 2554 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ทุกประเทศ
สำหรับสถานการณ์ตลาดภายในประเทศนั้น ภาคบริการด้านการท่องเที่ยวของไทยนับว่ามีศักยภาพค่อนข้างสูง ทั้งในส่วนของความพร้อมในการให้บริการแก่ชาวต่างชาติ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งการเปิดเสรีภาคการท่องเที่ยวน่าจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมีรายได้เพิ่มขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อเข้ามาใช้บริการโดยเฉพาะด้านโรงแรมที่พักซึ่งเป็นเครือข่ายของบรรดานักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย อันจะก่อให้เกิดการกระจายรายได้ไปยังกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตามมา
ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวโดยใช้ประโยชน์จากการเป็นอาเซียนเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด รวมทั้งการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจโดยอาศัยจุดแข็งของภาคการท่องเที่ยวของไทยโดยเฉพาะการเป็นที่ยอมรับในด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม ความมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีของคนไทย การมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และรสชาติอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ธุรกิจจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น
ระบบการชำระเงิน ที่ควรเพิ่มความสะดวกเรื่องการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต บัตรเงินสดมากขึ้นขณะเดียวกันควรใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ให้ข้อมูลสนับสนุนการท่องเที่ยวมากขึ้น มีการพัฒนาด้านแอพพลิเคชั่น รวมทั้งเว็บไซต์ เพื่อให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกการจอง รวมทั้งใช้ช่องทางนี้ให้นักท่องเที่ยวได้แบ่งปันประสบการณ์ท่องเที่ยว ซึ่งที่กล่าวมานั้นถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดเพื่อผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว จะนำไปใช้และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้มากยิ่งขึ้น นั่นเอง
ที่มาของเว็บ http://th.aectourismthai.com/
http://www.thanonline.com/
AECกับการศึกษาไทย
ขณะที่ไทยกำลังนับถอยหลังเข้าสู่การเป็น "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" (ASEAN Economic Community—AEC) คำถามที่ทุกฝ่ายต่างสงสัย คือ เรา "พร้อม" แค่ไหนสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" (AEC) เป็นหนึ่งใน 3 เสาหลักของประชาคมอาเซียน (ASEAN) อันประกอบไปด้วย "ประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียน" (ASEAN Political-security Community) "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" (ASEAN Economic Community) และ "ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน" (ASEAN Socio-Cultural Community) จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว โดยมีการเคลื่อนย้ายเงินทุน สินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือระหว่างประเทศสมาชิกได้อย่างเสรี
แน่นอนว่า การเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นประเด็นเร่งด่วนที่สุด ณ วินาทีนี้ แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญมากอีกประการซึ่งพวกเรายังคงต้องตั้งคำถามถึงก็คือเรื่องของ "การศึกษา"
นอกจากประเด็นเรื่อง "ภาษา" แล้ว ใจความหลักที่การศึกษาไทยในยุค AEC จะต้องครอบคลุมก็มี เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ประกอบการและทักษะของแรงงาน, การพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยี, รวมไปถึงการปรับทัศนคติให้คนไทยเข้าใจและอยู่ร่วมกับคนจากหลากหลายวัฒนธรรมได้
"คน-การศึกษา" หัวใจของเสาหลักทั้งสาม
“มนุษย์" คือ ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของทุกเสาหลัก ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยมี "การศึกษา" เป็นพื้นฐานของการพัฒนาคุณภาพมนุษย์ ทั้งนี้ ตัวแปรหลักในกระบวนการการศึกษาที่ประเทศไทยต้องกลับมาทบทวนและให้ความสำคัญมากขึ้น ก็คือ การพัฒนา "ครู" และ "หลักสูตร" รวมทั้งการเสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษของประชาชนคนไทย
“นักการศึกษาต้องทบทวนหลักสูตรโดยเล็งเห็นถึงความต้องการของประเทศในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่ผ่านมาเราเน้นแต่การสอน นับจากนี้เราต้องสอนให้น้อยลง แต่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้มากขึ้น
ที่มาของเว็บ http://www.tcdc.or.th/
ที่มาของเว็บ http://www.tcdc.or.th/
2.นำไปประยุกต์ใช้
สามารถเตรียมตัวเองและครอบเพื่อพัฒนาเตรียมพร้อมเข้าสู่ AEC อย่างมีประสิทธิภาพ
3.สรุป
เข้าใจกับ AEC และสถานะการณ์ปัจจุบันในการเตรียมความพร้อมทางด้านต่างๆของไทยเพื่อเข้าสู่ AEC อย่างมีคุณภาพ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น