อนุทินครั้งที่6

 อนุทินครั้งที่6

1.องค์ความรู้ที่ได้รับ

หลักการสร้างร้านค้าออนไลน์

       ขั้นเริ่มต้น
 - ต้องการหาประสบการณ์และเรียนรู้
 - ไม่รู้ว่าจะขายอะไร
 - ทำเวบไซต์ไม่เป็น
 - ไม่มีความรู้พอเรื่องเทคนิค
 - ไม่มีทีมงาน
 - งบประมาณไม่มีมากพอ
 - ไม่เข้าใจระบบการชำระเงิน
 - ไม่เข้าใจระบบการขนส่ง

       หนทางในการเริ่มต้น
 - เรียนรู้จากผู้ที่ทาแล้วเช่น การเข้าไปค้นคว้าผ่าน Search Engines โดยหาจาก Key words สินค้าที่เราสนใจ เช่น ถ้าสนใจในธุรกิจบริการพิมพ์ Thailand Hotels, Thailand Tour,Thailand Toys,
 - เข้าไปเว็บไซต์ ที่เป็น e-Market Place ต่างๆ เช่น www.TaRad.com, www.PantipMarket.com ,www.ThaiSecondHand.com, www.eBay.com
 - ศึกษาข้อมูลและรูปแบบการจัดทา

       สินค้าที่เหมาะสาหรับการขายบนเว็บไซด์
 - ของที่ราคาเป็นต่อ หรือ ราคาไม่แพงเกินไป
 - ของที่นํ้าหนักเบา ง่ายต่อการส่ง เช่น ดอกไม้ ซีดี สินค้าแฟชั่น เครื่องเล่น MP4 โทรศัพท์มือถือ
 - ของที่ติดตั้งง่าย
 - ตอบสนองลูกค้า
 - มักไม่มีขายตามร้านทั่วไป เป็นสินค้าที่ทำขึ้นมาเพื่อขายบนเว็บไซต์เป็นพิเศษ
 - ของที่ซื้อผ่านเว็บแล้วสะดวกกว่าซื้อผ่านร้าน เช่น สินค้าประมูล ซอฟแวร์ ทัวร์ จองโรงแรม จองตั๋วเครื่องบิน
 - สินค้าที่ไม่ต้องการจับต้อง และเป็นมาตรฐาน เช่น เพลง, หนังสือ, ของขวัญ, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์  - มีหลากหลาย คือ สินค้าประเภทเดียว แต่มีหลายแบบ ให้เลือก เช่น เสื้อผ้า โทรศัพท์ มีรุ่น สี ขนาด ที่แตกต่างกันออกไป

       ขั้นกลาง
 - รู้แล้วว่าขายหรือให้บริการใดในอินเตอร์เน็ตแล้วได้ผล
 - ต้องการมีเวบไซต์เป็นของตนเอง
 - สามารถปรับรูปแบบและควบคุมเวบไซต์ได้ด้วยตนเอง
 - ต้องการหาลูกค้าหรือขยายตลาดใหม่ๆและเพิ่มจานวนคนเข้าเยี่ยมชมโดยไม่ต้องการพึ่งแค่ E-Market Place เวบไซต์ •ต้องการเรียนรู้เครื่องมือและเทคนิคในการทา e-Marketing ต่างๆ
 - ยังขาดทีมงานด้านเทคนิคหรือโปรแกรมเมอร์
 - งบประมาณยังมีจากัด

       กระบวนการในการจัดทาร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์
 - การวางแผนการตลาด โดย มีหัวข้อคือ •สำรวจตัวเอง เพื่อหาจุดอ่อน/จุดแข็งของสิ่งต่าง ๆ เช่น เป้าหมายของบริษัท,สินค้าและบริการ,ต้นทุน,บุคลากร,เทคโนโลยีที่ใช้ •สำรวจตลาด เพื่อทราบความต้องการของตลาด กาหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ราคาที่เหมาะสม และพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
 - สำรวจคู่แข่ง เพื่อสร้างความแตกต่าง ทั้งในด้านสินค้าและบริการ หรือกลุ่มเป้าหมาย
 - สำรวจศักยภาพทางเทคโนโลยี เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันในด้านต่างๆ เช่น ระบบสั่งซื้อ, ระบบโต้ตอบอัตโนมัติ, ระบบส่งเสริมการขาย, ระบบชาระเงิน, ระบบหลังร้าน, ระบบรักษาความปลอดภัย

      ขั้นตอนการเริ่มต้นทาเว็บไซต์
 1.กำหนดเป้าหมาย/กำหนดวัตถุประสงค์
 2.วางแผน
 3.เริ่มเข้าสู่การออนไลน์
 4.เริ่มต้นทาเว็บไซต์
 5.จัดการและบริหารเว็บไซต์
 6.Search Engines Marketing
 7.เครื่องมือวัดสถิติ

      1.กำหนดเป้าหมายในการทำ คุณทำเว็บไปทำไม?
 กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน การจัดทาเว็บไซด์นั้นเพื่อรองรับอะไรบ้าง และจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักด้วย เช่น
 - ทาให้คนอื่นๆ รู้จักคุณ, องค์กรของคุณ
 - เพื่อขายสินค้าและบริการของคุณ
 - เพื่อสาหรับช่วยเหลือและบริการหลังการขายกับลูกค้า
 - ให้ข้อมูลสินค้าและไว้สาหรับเป็นช่องทางในการติดต่อ
 - เชื่อมโยงระหว่างองค์กร เครือข่าย
 - ทาตามกระแสนิยมเป็นแฟชั่น

      สรุปตามหลักการ 4 S’s
 - Sell คือ การเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ โดยการสั่งซื้อสามารถทาได้ 24 ชั่วโมง โดยลูกค้าสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง
 - Speak คือ การแจ้งข่าวสาร หรือ พูดคุยกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ เช่น แจ้งอัพเดตสินค้าใหม่ โปรโมชั่นใหม่ การปรับราคาลง รวมถึงการตอบอีเมล์และเว็บบอร์ด
 - Save คือการใช้สื่อออนไลน์เพื่อลดต้นทุนด้านการขาย การสื่อสาร และทรัพยากรโดยรวม ธุรกิจสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ เช่น ค่าโทรศัพท์เพื่อยืนยันคาสั่งซื้อ หรือ ค่าไปรษณีย์ทางตรง แต่จะใช้การสื่อสารแบบออนไลน์แทนเช่น แคตตาล็อก อีเมล์ แชทรูม
 - Serve คือการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ลูกค้าพอใจ เช่น ตอบข้อซักถาม

      2. วางแผน
 สินค้า ต้องกำหนดสินค้าหรือบริการ หรือทิศทางในการนาเสนอสินค้าก่อนว่าเป็นสินค้า หรือบริการประเภทอะไรบ้าง เช่น สินค้าหัตถกรรม เครื่องเพชรพลอย หรือ เครื่องเงิน
 - ทาการวิจัยการตลาด เพื่อหาลู่ทางและโอกาสทางการตลาด
 - ใครคือลูกค้าของคุณ ??
 - ลูกค้าต่างประเทศ ลูกค้าในประเทศ
 - ผู้ใหญ่, เด็ก, ผู้ชาย, ผู้หญิง
 - วางแผนกลลยุทธ์และกระบวนการดาเนินงาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ –ส่วนหน้าร้าน(Font End) เช่น การทารูปแบบหน้าตาของเว็บไซต์การจัดทาเพื่อบอกรายละเอียดข้อมูลของสินค้าที่ต้องการขาย การตั้งชื่อโดเมนเนม –ส่วนหลังร้าน(Back End) เช่น จัดเตรียมวิธีการส่งสินค้า จัดเตรียมวิธีการเรียกเก็บเงินจากลูกค้า และจัดเตรียมวิธีการให้บริการหลังการขาย •กำหนดขั้นตอนในการทางาน,อุปสรรค์ในการทางาน และวันที่เสร็จ (Deadlines)

 - การวิเคราะห์สถานการณ์
 - ทำการวิเคราะห์ปัจจัยภายใน และภายนอก
 - ทำการวิเคราะห์ SWOT คือ การวิเคราะห์หาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และ อุปสรรคขององค์กรหรือธุรกิจ

       การวิเคราะห์สถานการณ์
การสำรวจสถานการณ์ หรือ สภาพแวดล้อมทั้งภายใน และ ภายนอกองค์กรที่ส่งผลกระทบต่อการดาเนินธุรกิจ
 - ช่วยให้ธุรกิจทราบว่าธุรกิจอยู่ ณ จุด ใด เช่น มีงบประมาณพอที่จะดาเนินธุรกิจหรือไม่
 - มีกาลังผลิตเอง หรือ ต้อง อาศัยการสั่งซื้อสินค้าสำเร็จรูปจากรายอื่น
 - มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยหรือไม่
 - บุคคลากรสามารถปฎิบัติงานได้ตามที่ต้องการหรือไม่
 - มีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด ถ้าน้อยทาอย่างไรให้ลูกค้าเชื่อถือ
 - มีอำนาจต่อรองมากน้อยเพียงใด มีอะไรที่โดนเด่นกว่าคู่แข่ง

       สภาพแวดล้อมภายใน(Internal Environment)
สภาพแวดล้อมที่อยู่ภายใต้การควบคุมของธุรกิจ ซึ่งธุรกิจสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้จากการเรียนรู้และประสบการณ์ สภาพแวดล้อมภายในเป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องสร้างความแข็งแกร่งและภูมคุ้มกันก่อน โดยเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็ง สภาพแวดล้อมภายในประกอบด้วย
 - ฐานข้อมูลลูกค้า(Customer database) คือ รายละเอียดส่วนบุคคลที่ธุรกิจได้มาจากการสมัครสมาชิกของลูกค้า หรือการแนะนาจากสมาชิกหรือลูกค้ารายอื่นๆฐานข้อมูลรวมถึง ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ประวัติการใช้บริการ ทาให้ธุรกิจสามารถได้ว่าลูกค้ามีพฤติกรรมการใช้อย่างไร
- ส่วนประกอบทางการตลาด(Marketing Mix)
- บุคลากร , ภาพลักษณ์,เครือข่าย

       สภาพแวดล้อมภายนอก
ปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของธุรกิจซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งโอกาส( Opportunities) และอุปสรรค(Therats) ถึงแม้ว่าธุรกิจไม่สามารถควบคุมปัจจัยเหล่านี้แต่ก็สามารถเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นโอกาสได้ เช่น ราคาน้ามันที่สูงทาให้ธุรกิจเสนอจุดขายว่า “ส่งสินค้าถึงที่ในราคาประหยัด”
•สภาพแวดล้อมภาพนอกที่มีอิทธิพลต่อการทาธุรกิจได้แก่
 - ปัจจัยทางสังคม การเมือง
 - เทคโนโลยี การแข่งขัน
 - เศรษฐกิจ

       การวิเคราห์จุดแข็ง-จุดอ่อน (SWOT Analysis)
S คือ strength จุดแข็ง สิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ ขององค์กร และผลิตภัณฑ์ ที่ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งขัน เช่น ตราสินค้าที่ผู้นำในตลาด ความสามารถในการแข่งขันจากส่วนผสมตลาด ทีมงานวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถ มีเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ ความพร้อมทางด้านการเงินซึ่งก่อให้เกิดความได้เปรียบทางด้านเงินทุน ทักษะ ความสามารถพิเศษของพนักงาน และผู้บริหาร
W คือ Weakness จุดอ่อน ส่วนที่ไม่ดี เป็นโทษ ต่อองค์กร และผลิตภัณฑ์ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน หรือส่วนที่เป็นตรงกันข้ามกับจุดแข็งที่เรามีอยู่ เช่น การใช้กำลังผลิตน้อยเกินไป มีความเชี่ยวชาญในการผลิตตํ่า หรือเทคโนโนโลยีการผลิตไม่ทันสมัย ด้านบุคลากร ผู้บริหารขาดประสบการณ์ ไม่มีประสิทธิภาพ ทีมงานในฝ่ายต่างๆ ไม่เข้มแข็งในการปฏิบัติงาน แสดงถึงขาดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน
O คือ Opportunity โอกาส เป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่มีผลกระทบสร้างโอกาส ผลประโยชน์ให้องค์กร เกิดความแข็งแกร่ง เช่น จุดอ่อนของคู่แข่ง พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยน ให้การสนับสนุนส่งเสริมการผลิตระดับอุตสาหกรรม หรือการลดภาษีขา เข้าวัตถุดิบสำคัญ หรือรัฐตั้งกำแพงภาษี สำหรับผลิตภัณฑ์ทดแทน หรือ สินค้าสำเร็จรูป ที่เป็นคู่แข่งขันจากต่างประเทศ
T คือ Threats อุปสรรค ปัจจัยภายนอกที่รายล้อมธุรกิจ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และไม่สามารถควบคุมได้ เช่น คู่แข่งมีศักยภาพในการแข่งขันสูง จนสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด สร้างความจงรักภักดีต่อสินค้าได้ สภาวะเศรษฐกิจตกตํ่า เงินตึง การลดค่าเงินบาท อัตราดอกเบี้ยสูง การเมืองไม่มีเสถียรภาพ ไม่มีการลงทุน คนว่างงาน อัตราเงินเฟ้อสูง กฎระเบียบทางราชการ และอัตราภาษีที่กระทบต่อองค์กร


       การวิเคราะห์ SWOT
แบ่งประเภทเป็น 2 กลุ่ม
ปัจจัยภายใน คือ สภาพแวดล้อมภายในองค์กรเอง ที่เราควบคุมได้
   –จุดแข็ง( strengths) หรือจุดเด่น /ข้อได้เปรียบ ของธุรกิจ
   –จุดอ่อน(Weaknesses) หรือจุดด้อย/ข้อเสียเปรียบ ของธุรกิจ
•ปัจจัยภายนอก คือสภาพแวดล้อมภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ และอาจส่งผลกระทบต่อจุดแข็งและจุดอ่อน
   –โอกาส(Opportunities) ที่เอื้ออานวยต่อการดาเนินการใดๆ
   –อุปสรรค(Threats) หรือปัจจัยคุกคามต่อการดาเนินการ

      เริ่มเข้าสู่การออนไลน์
เลือกโดเมนเนมของเว็บไซต์คุณ .com .net .org
เลือก Hosting ที่เก็บเว็บไซต์คุณ
สามารถเข้าได้รวดเร็ว
ราคา, การSupport, ขนาดของพื้นที่ Free Hosting. www.Thai.net, www.geocities.com มีเจ้าหน้าที่และทีมงานที่พร้อมช่วยเหลือ
ทาการประชาสัมพันธ์ โฆษณา

       หลักการตั้งชื่อโดเมน
 - ถ้ามีบริษัท ชื่อสินค้า หรือบริการ ก็ใช้ชื่อเหล่านั้นตั้งเป็นชื่อเว็บไซต์
 - เลือกชื่อที่เกี่ยวข้องกันสินค้าหรือบริการของคุณ หรือสะท้อนภาพขององค์กร
 - สั้น จาง่ายๆ พูดง่ายและสะกดง่าย
 - บางครั้งชื่อยาวก็จาง่ายเหมือนกัน
 - เติม S หรือไม่เติม S
 - หลีกเลี่ยงการใช้ (ขีดกลาง หรือ Hyphen) www.one2call.com
 - การตั้งชื่อแบบไม่มีความหมายเลยก็ได้
 - ชื่อเว็บแสดงลักษณะของบริการของเว็บ

       Resource
จดโดเมน
 - .co.th, in.th จดที่ www.thnic.net –.com, .net, .org จดที่ www.easyspace.com www.netsol.com ,www.godaddy.com

       หา Hosting
www.hostsearch.com
www.easyspace.com
www.thailand.altaway.com
www.budgethosting.com

       การเลือก Hosting ที่ดีควรดูจากอะไรบ้าง
 - ประสิทธิภาพของเครื่อง Server ที่มาใช้ Host
 - จานวนลูกค้าต่อเครื่อง Server ที่ให้บริการ
 - ความเร็วในการรับส่งข้อมูล Web Hosting
 - ระบบ Backup ข้อมูล Web Hosting
 - ปริมาณข้อมูลที่รับ-ส่งได้ (Bandwidth)
 - จานวน e-mail ที่สามารถใช้ได้
 - การ Support หรือการให้บริการหลังการขาย
 - ราคาหรือค่าบริการ

       เริ่มต้นทำเว็บไซต์
การเริ่มต้นพัฒนา Web Site มีหลายแนวทางได้แก่
 - พัฒนาด้วยตัวเอง, จ้างผู้เชี่ยวชาญมาพัฒนา, ใช้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูป ดูเรียบง่ายแต่ใช้งานได้ดี เข้าใจง่าย เช่น Google, Yahoo
 - ความสับซ้อนของแต่ละเว็บไซต์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของเว็บของคุณ วางแผนการใส่ข้อมูลในเว็บ
 - ทาอย่างไรจะทาให้ข้อมูลในเว็บไซต์ ใหม่ สด สะอาด อยู่เสมอ

       ซอฟแวร์สาหรับทำเว็บไซต์
ประเภทเครื่องมือและซอฟแวร์ในการทำเว็บไซต์
 -  ซอฟแวร์ด้านการตกแต่งภาพ Adobe Photoshop, Paintshop – ซอฟแวร์การทำเว็บไซต์ Dream Weaver, Microsoft Front page , Microsoft Word
 - ซอฟแวร์จัดทำเว็บสำเร็จรูป
 - www.TARAD.com,
 - www.webReady.com,www.mambosolve.com
 - www.readyplanet.com ,www.templatemonster.com

       การพัฒนา E-Commerce มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
 - ค่าพัฒนา Web Site ค่าออกแบบและจัดทาเว็บไซต์
 - ค่าจดทะเบียนชื่อโดเมนเนม (Domain name) –www.ABC.co.th ค่าจดทะเบียนอย่างน้อย 2 ปีที่ 1,800 บาท มีค่าธรรมเนียมปีละ 900 บาท www.ABC.com มีค่าธรรมเนียม 1 ปีแรก 450 บาทขึ้นไป
 - ค่าเช่าพื้นที่ Hosting
 - ค่าอินเทอร์เน็ต ISP
 - ค่าธรรมเนียมธนาคาร (ค่าโอนเงิน, ค่าตัดบัตรเครดิต)
 - ค่าจ้างคนดูแล
 - ค่าประชาสัมพันธ์ เช่น ค่าเช่าป้ายโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ (Banner) ค่าลงโฆษณาในนิตยสารต่างๆ เป็นต้น

เทคนิคการสร้างแลนด์ดิ้งเพจ (Landing Page)
แลนด์ดิ้งเพจ คือ หน้าเว็บไซต์ที่มี วิธีการที่ และการนาเสนอรูปแบบต่างๆ เพื่อนำไปสู่ การปิดการขายอย่างรวดเร็ว ภายในหน้าเดียว"

สิ่งที่ควรมีในหน้าแลนด์ดิ้งเพจ
 - ใช้คาพูดกระตุ้นและเร้าใจ (Call to Action) "ลดพิเศษ..!" "ด่วน..!"
 - ความยาวของหน้าควรพอดีกับสิ่งที่ต้องการนาเสนอ
 - สร้างหัวข้อที่สร้างความน่าสนใจ อาจจะเขียน หัวข้อหรือข้อความสั้นๆ ตัวใหญ่ๆ เด่นๆ
 - ตั้งคาถาม และตอบ "อยากเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจคุณหรือไม่?”
 - ใช้ภาพเข้าช่วย

       เทคนิคการขายของบนอินเตอร์เน็ตให้ได้ผล
 - รู้จัก “ลูกค้า” ของคุณก่อน
 - การทำ PR ตรงไปยังกลุ่มเป้าหมาย
 - ควรเปิดไว้ในหลายๆ ที่ เปิดหลายๆ สาขา
 - ราคาต้องน่าสนใจ
 - อัพเดทสมํ่าเสมอ
 - สินค้าต้องมีครบ ที่ลูกค้าอยากได้
 - สิ่งสินค้าให้ตรงเวลา ที่สัญญาไว้
 - ใส่ใจบริการ มากว่าเน้นการขายเพียงอย่างเดียว
 - เน้นธุรกิจ มากกว่าเทคโนโลยี
 - สร้างธุรกิจหน้าร้าน ผสานธุรกิจออนไลน์

       10 วิธีการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
 1.มีชื่อโดเมนเนม เป็นของคุณเอง
 2.หลีกเลี่ยงการใช้เว็บ Hosting ฟรี.!
 3.ออกแบบเว็บไซต์ที่ดูน่าเชื่อถือ
 4.การนาเสนอข้อมูลภายในเว็บไซต์ที่ใหม่ สดเสมอ
 5.แสดงที่อยู่ข้อมูลจริง ที่สามารถติดต่อได้ง่าย
 6.อ้างอิงถึงผู้ที่เคยใช้บริการไปแล้ว (Testimonials)
 7.การนาผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ หรือให้บริการ ช่วยยืนยันความมีตัวตนและน่าเชื่อถือของเว็บคุณ (Trust.org)
 8.การนารางวัล หรือข่าวสารที่เกี่ยวกับเว็บ หรือบริษัทคุณ มาแสดง
 9.อ้างอิงถึงระยะเวลาที่คุณได้เปิดให้บริการมาแล้ว
 10.ภายในเว็บไซต์ควรจะสะกดอักษรที่ถูกต้อง

        สินค้าที่เหมาะสาหรับการขายบนเว็บไซด์
 - ของที่ราคาเป็นต่อ หรือ ราคาไม่แพงเกินไป
 - ของที่นํ้าหนักเบา ง่ายต่อการส่ง
 - ของที่ติดตั้งง่าย
 - ตอบสนองลูกค้า
 - มักไม่มีขายตามร้านทั่วไป
 - ของที่ซื้อผ่านเว็บแล้วสะดวกกว่าซื้อผ่านร้าน เช่น สินค้าประมูล ซอฟแวร์ ทัวร์ จองโรงแรม จองตั๋วเครื่องบิน
 - สินค้าที่ไม่ต้องการจับต้อง และเป็นมาตรฐาน เช่น เพลง, หนังสือ, ของขวัญ, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
มีหลากหลาย คือ สินค้าประเภทเดียว แต่มีหลายแบบ ให้เลือก เช่น เสื้อผ้า โทรศัพท์ มีรุ่น สี ขนาด ที่แตกต่างกันออกไป

       Price (ราคา)
 - ราคา (Price) คือ มูลค่าของผลิตภัณฑ์ในรูปของตัวเงินที่ลูกค้า จ่ายเพื่อแลกกับผลิตภัณฑ์
 - ราคา = ต้นทุน + กาไร
 - ราคาที่ลูกค้าจ่าย = มูลค่าสินค้า + ประโยชน

       วัตถุประสงค์ของการตั้งราคา
   วัตถุประสงค์ในการตั้งราคาแบ่งออกเป็น 3 ประการ
 1.การตั้งราคาเพื่อยอดขาย  คือ การตั้งราคาตํ่าลงราคาเดิม หรือ การส่งเสริมการขายให้กับสินค้าโดยขายในราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นยอดขาย เพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้า เหมาะกับธุรกิจเปิดใหม่ที่ต้องการได้รับการยอมรับ ธุรกิจอาจจะตั้งราคาสินค้าใหม่ให้ตํ่ากว่าคู่แข่ง เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าชิ้นอื่นๆ
 2. การตั้งราคาเพื่อหวังกาไร คือ เป็นการตั้งราคาเพื่อให้ธุรกิจคืนทุน ให้เร็วที่สุด เป็นการตั้งราคาให้สูง เพื่อต้องการกำไรนั้นเอง สินค้าที่เหมาะกับการตั้งราคาเพื่อหวังกำไร คือ
 - สินค้าหายาก ไม่มีขายทั่วไป ต้องเป็นสินค้าที่มีจำนวนจำกัด และเป็นที่ต้องการมากทำให้ราคาสูงได้ เช่น สินค้าประมูล
 - สินค้าเทคโนโลยี ที่เป็นที่ต้องการของตลาด เช่น โทรศัพท์
 -  สินค้าแสดงภาพลักษณ์ ได้แก่ สินค้าแบรนด์เรม หรือ สินค้านำเข้า
3. การตั้งราคาเพื่อรักษาสถานะ

เป็นการตั้งราคาเพื่อรักษาภาพลักษณ์เดิม ไม่มีการเพิ่มหรือลดราคา เช่น นกแอร์รักษาภาพลักษณ์ของสายการบินต้นทุนตํ่า โดยไม่เพิ่มราคาให้เทียบเท่าสายการบินแบบไฮคราส

       Place การบริหารช่องทางจัดจำหน่าย
 - การพัฒนาช่องทางจัดจาหน่าย ให้น่าสนใจ และ ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
 - หน้าร้าน( Store Design) หน้าเว็บไซด์ (Web site Design)
 - การบริหารจัดการเกี่ยวกับคลังสินค้า(Inventory Management)
 - การตอบสนองคาสั่งซื่อ(Order Fulfillment)
 - การบริหารการขนส่ง(Transporttaion)

       หลักการออกแบบเว็บไซต์ โดยใช้ 6 C’s
 - Content
 - Community
 - Commerce
 - Customization
 - Communication
 - Convenience

        Content (เนื้อหา - ข้อมูลบนเว็บไซต์)
  ความสดใหม่ของข้อมูลที่นาเสนอ จะต้องทันสมัย และรวดเร็วกว่าสื่อประเภทอื่น ถ้าข้อมูลช้าจะทาให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ข้อมูลที่นาเสนอจะต้องมีความถูกต้องและ แม่นยา เช่น ถ้าได้มีการขายสินค้าลงบนเว็บไซต์แต่ราคาที่ประกาศขายมีการลงผิดไป ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมัน เนื้อหาต้องมีความน่าสนใจ และดึงดูดใจแก่คนที่เห็น และต้องอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม โดย นาเสนอภาพการ์ตูน หรือนาเสนอในรูปแบบสื่อในหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และภาพยนตร์ อ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล
        Community (ชุมชน)
การรวมตัวของกลุ่มคนจานวนหนึ่ง ที่อยู่ร่วมกันภายใต้เว็บไซต์หนึ่งโดยการพูดคุย หรือทากิจกรรมร่วมกัน โดยองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยในการสร้าง Community คือ
Webboard กระดานสนทนา
Pic Post โปรแกรมการโพสต์รูป –Diary Online หรือ Blog โปรแกรมบันทึกบนความของผู้ใช้งานเว็บไซต์ –News Group กลุ่มข่าว โปรแกรมที่แสดงข่าวสารที่เปิดดูเฉพาะสมาชิก และอนุญาตให้แสดงความคิดเห็น –Web Directory โปรแกรมที่เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ผู้เข้าเว็บนิยมใช้ เพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการ
Chat Room โปรแกรมการสนทนาผ่านออนไลน์
        Commerce (การค้าขาย)
การทำการค้าขายผ่านเว็บไซต์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบทั้งหมดที่ก่อให้เกิดการซื้อการขายผ่านเว็บไซต์ที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์
        Customization (การปรับให้เหมาะสม)
คือ รูปแบบการให้บริการที่สามารถปรับแต่งการใช้งาน การแสดงสินค้า ให้มีความเหมาะสมกับ ผู้ใช้บริการภายในเว็บไซต์ –ลูกค้าร้องขอเพื่อปรับแต่งตามความต้องการ (Personalization) เช่น การจัดตกแต่งหน้าร้านได้ด้วยตัวเอง หรือ การเลือกบริการตามความต้องการส่วนบุคคล –การปรับตกแต่งเว็บไซต์ ( Tailoring )เจ้าของเว็บไซต์ทาการรวบรวมความชอบโดยรวมของลูกค้า แล้วจึงทาการปรับปรุงร้านค้าตามมา –การเก็บข้อมูลของลูกค้าเพื่อการนาเสนอข้อมูล ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์ Amazon ทาการเก็บข้อมูลของลูกค้าและนาเสนอสินค้าตามความต้องการ
        Communication (การสื่อสาร )
คือช่องทางในการสื่อสารและติดต่อไปยังผู้ใช้บริการในเว็บไซต์ หรือรับเสียงสะท้อนจากลูกค้า โดยมีหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ หรือแผ่นที่ ที่ลูกค้าสามารถติดต่อ หรือเดินทางได้
        Convenience ( ความสะดวกสบาย)
ความสะดวกสบาย ที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน ซึ่งก็คือการใช้งานเว็บไซต์ที่ง่าย ไม่รู้สึกซับซ้อน ไม่รู้สึกซับซ้อน ค้นหาข้อมูลได้ง่าย ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ มีดังนี้
- เว็บไซต์ ดูง่าย ไม่ดูรกจนเกินไป
- สามารถเรียนรู้ได้ง่าย
- สามารถจดจำวิธีการใช้งานได้ง่าย
- สามารถเข้าถึงได้ง่าย
- สามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพ
- การเจอปัญหาและแก้ไข

        การเพิ่มความน่าสนในให้กับสินค้า
Promotion (โปรโมชั่น)
การส่งเสริมการตลาด(Promotion) หรือ การสื่อสารทางการตลาด
( Marketing Communications) เป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ซื้อหรือผู้ผลิตกับผู้บริโภค เพื่อแจ้งข่าวสาร ให้ข้อมูล จูงใจ สร้างทัศนคติที่ดีให้แก่ลูกค้าเพื่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อ รูปแบบการส่งเสริม-การตลาด ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมีดังนี้
 - การโฆษณา( Advertising)
 - การประชาสัมพันธ์( Public Relatios)
 - การส่งเสริมการขาย( Sales Promotion)
 - การตลาดทางตรง( Direct Marketing)
 - การใช้พนักงานขาย(Personal Selling)

        การโฆษณา( Advertising)
การส่งเสริมการตลาดผ่านสื่อ เพื่อให้เกิดการรับรู้ เพิ่มยอดขาย และยํ้าเตือนความจำ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1.การโฆษณาผ่านทางสื่อออฟไลน์ ได้แก่ โทรทัศน์ วิทยุ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณากลางแจ้ง สื่อ ณ จุดที่ซื้อ แผ่นผับ 2.การโฆษณาผ่านทางสื่อออนไลน์ ได้แก่ โฆษณาทางอินเทอร์เน็ต ทีวีออนไลน์( Online Television) วิทยุออนไลน์( Online Radio)
โฆษณาแบบเนอร์( Banner) ภาพเคลื่อนไหว(Animation) หรือแฟลซ(Flash) เพื่อให้ผู้ชมคลิกเข้าไป เรียกว่า โฆษณาตอบตรง( Direct Response Advertsing)  การโฆษณาสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สามารถทำผ่านสื่อได้ ทุก รูปแบบ แต่ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ และ งบประมาณของธุรกิจ
•วัตถุประสงค์ของโฆษณา คือ ต้องการจูงใจกลุ่มเป้าหมายให้เกิดซื้อ ถึงแม้ว่า วัตถุประสงค์เบื้องต้นเพื่อสร้างการรับรู้ หรือให้ข่าวสารก็ตาม
        รูปแบบการโฆษณาผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต
โฆษณาแบนเนอร์ ( Banner Ad) คือ ภาพกราฟฟิก หรือ ภาพเคลื่อนไหว ( Animation ) ที่แสดงบนเว็บไซด์ในรูปแบบของแอพพลิเคชั่น หรือ แฟลซ
•การโฆษณาลอย ( Floating Ad) คือ โฆษณาที่เลื่อนขึ้นและลงบนหน้าเว็บเพจ ไม่ว่าผู้ชมจะเลื่อนขึ้นหรือ ลง
•การโฆษณาคั่นหน้า(Interstitial ad) โฆษณาระหว่างเว็บเพจ ที่ปรากฏขึ้นมาระหว่างการเปลี่ยนหน้าหนึ่ง โดยเฉพาะหน้าแรก ไปยังหน้าหลักของเว็บไซด์
        การประชาสัมพันธ์( Public Relations)
การส่งเสริมการตลาดที่เน้นภาพลักษณ์ และ ความเข้าใจระหว่างธุรกิจและสาธารณชน รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวของธุรกิจ มากกว่าการขายสินค้าโดยตรง
•การประชาสัมพันธ์ธุรกิจแบบเดิม ได้แก่ การแสดงชื่อเว็บไซต์บน นามบัตร ซองจดหมาย สติกเกอร์ติดรถ ถุงหิ้ว บรรจุภัณฑ์สินค้า
        การประชาสัมพันธ์( Public Relations)
รูปแบบการประชาสัมพันธ์ผ่านทางออนไลน์
 - จดหมายข่าว (Publicity) เป็นวิธีการแจ้งข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่าง ๆ บนเว็บไซด์ โดยข่าวที่นำมาลงอาจจะมาจากเว็บหนังสือพิมพ์ก็ได้ หรือการนำเสนอภาพกิจกรรมภายในองค์กร
 - ทัวร์เสมือนจริง(Virtual Tour) คือการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบภาพหรือวีดีโอแบบ 360 องศา ที่ให้ผู้ชมสามารถชมสถานที่ได้เสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงที่สุด เช่น โรงแรม มหาวิทยาลัย สปา นิยมใช้ ทัวร์เสมือนจริง
        การประชาสัมพันธ์( Public Relations)
รูปแบบการประชาสัมพันธ์ผ่านทางออนไลน์
 - การจดทะเบียนกับ Search Engine
การเพิ่มรายชื่อเว็บไซต์ของคุณเข้าไปในเว็บไซต์สาหรับการค้นหาข้อมูล เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั่วโลกสามารถค้นหาเว็บไซต์ได้ โดยการใส่คาสำคัญที่บ่งบอกลักษณะสินค้าหรือบริการที่คุณให้บริการในเว็บไซต์หรือลักษณะเด่นอื่นๆ
 - การตลาดไวรัส( Viral Marketing)
การประชาสัมพันธ์ที่อาศัยผู้เข้าชมเว็บไซต์ สมาชิก หรือ ผู้สนใจ เพื่อบอกต่อไปยังบุคคลอื่น และเพิ่มจานวนผู้รับรู้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น การส่งต่อหน้าเว็บไซต์ไปยังเพื่อนคนอื่น ๆ
        การส่งเสริมการขาย ( Sale Promotion)
การส่งเสริมการตลาดที่มุ่งเน้นยอดขายระยะสั้น และมักจะมีการกำหนดระยะเวลา เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อโดยเร็วที่สุด
เครื่องมือในการส่งเสริมการขาย ได้แก่
- การลดราคา
- การให้คูปอง
- การแจกของแถม
- การรับประกัน
        การส่งเสริมการขาย ( Sale Promotion)
รูปแบบการส่งเสริมการขายบนเว็บไซด์ มีดังนี้
  - ส่วนลดและจัดรายการพิเศษ( Bargains & Special Offers) เป็นวิธีการส่งเสริมการขายที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยดึงดูดผู้ซื้อออนไลน์ได้อย่างดี เว็บไซด์จะต้องจัดแสดงรายการพิเศษสาหรับผู้ที่ชอบสินค้าราคาประหยัด เพื่อให้ลูกค้าเกิดการซื้อสินค้า โดยจัดเป็นช่วงเวลา
 - คูปอง( Coupons) มี 2 รูปแบบ คือ คูปองที่สั่งพิมพ์ออกมาแล้วใช้ที่ร้าน( Printable Coupons) คูปองรหัส( Coupon Code) เพื่อนาไปใช้กรอกในแบบฟอร์มเว็บไซต์เพื่อซื้อสินค้าในราคาพิเศษ มักจะส่งมาทางอีเมล์ลูกค้า โดยเป็นการสัมนนาคุณลูกค้าที่มียอดซื้อจานวนมาก
        การส่งเสริมการขาย ( Sale Promotion)
รูปแบบการส่งเสริมการขายบนเว็บไซด์ มีดังนี้
 - ของรางวัล( Premium) การให้ของแถม หรือ ของรางวัลบนเว็บไซต์ คือ การให้สินค้าฟรีกับลูกค้า เพื่อจูงใจให้ลูกค้าเกิดความสนใจ หรือ ตัดสินใจ ซื้อสินค้า
 - สะสมแต้ม ( Loyalty Programs) การตั้งเงื่อนไขให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดจานวนเงินเป็นแต้มคะแนน และนาแต้มคะแนนไปแลกซื้อสินค้า ในราคาพิเศษ หรือ แลกฟรี เช่น เมื่อซื้อครบสินค้าทุก 30 บาท ลูกค้าจะได้คะแนน 1 แต้ม และต้องกำหนดจานวนแต้มที่สามารถใช้แลกสินค้าตามรายการที่กำหนดฟรี ธุรกิจที่ใช้สะสมแต้ม คือ บัตรเคดิต บัตรเดบิต บริการโทรศัพท์มือถือ สายการบิน
 - การคืนเงิน ( Refund ) การแสดงความรับผิดชอบโดยการคืนเงินบางส่วน หรือทั้งหมดให้กับลูกค้าในกรณีต่าง ๆ โดยที่ร้านค้ากำหนดเงื่อนไข เช่น กรณีที่ลูกค้าไม่พอใจกับคุณภาพสินค้า หรือไม่พอใจที่สินค้ามีปัญหาในระหว่างการขนส่ง เป็น
        การตลาดทางตรง( Direct Marketing)
การส่งเสริมการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายโดยตรง โดยอาศัยฐานข้อมูลของลูกค้า การตลาดทางตรงจะทาผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ได้แก่ อีเมล์
( E-Mail) เว็บไซด์ส่วนตัวของลูกค้า( Personalized Web site) บริการส่งข้อความสั้นผ่านทางมือถือ(SMS)
การตลาดโดยใช้อีเมล์( E-Mail Marketing) หรือเรียกว่า Permission Marketing คือการส่งอีเมล์แจ้งข่าวสารให้กับลูกค้าที่ธุรกิจมีฐานข้อมูลของลูกค้า การแจ้งข้อมูลข่าวสารผ่านทางอีเมล์กับลูกค้ามีหัวข้อหลัก ๆ คือ แจ้งข้อมูลข่าวสารสินค้าใหม่ ๆ รายการส่งเสริมการขาย แนะนาสินค้าที่เกี่ยวกับรายการที่ลูกค้าซื้อ เป็นต้น การใช้อีเมล์ประเภทนี้จะต้องได้รับการยินยอมของลูกค้า (Opt – in E- Mail) คือ ต้องให้ลูกค้ากรอกอีเมล์แอสเดรสเพื่อรับสาร วัตถุประสงค์ เพื่อหลีกเลี่ยงเมล์ขยะ ( Spam หรือ Junk Mail )

        การตลาดทางตรง( Direct Marketing)
การใช้เว็บไซต์ส่วนตัว ( Personalized Web Site ) คือ การใช้ระบบสมาชิกกับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ามีความสะดวกในการเข้าใช้บริการทุกครั้งที่สั่งซื้อสินค้า หรือ แก้ไขข้อมูลบางอย่าง การใช้เว็บส่วนตัวของลูกค้าส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อให้ลูกค้าบริการตัวเองเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้า เข้าแก้ไขข้อมูลส่วนตัว เช่น ที่อยู่ หมายเลขบัตรเครดิต
การตลาดโดยการสั่งข้อความสั้น ( SMS Marketing) คือ การส่งข้อความเพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารหรือรายการส่งการขายให้กับกลุ่มเป้าหมายผ่านทางโทรศัพท์มือถือ โดยผู้ส่งข้อความจะมีฐานข้อมูลของ กลุ่มเป้าหมาย สถิติของข้อความจะมีการรับรู้ มากกว่าอีเมล์ถึง 10 เท่า เพราะฉะนั้น การใช้ SMS จะเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่ในทุกเว็บไซด์จะมี การมักจะให้ลูกค้ากรอกหมายเลขโทรศัพท์ใช้ในการติดต่อ

        การใช้พนักงานขาย( Personal Selling)
การส่งเสริมการตลาดที่ใช้สื่อสารสองทางระหว่างตัวแทนการขานของธุรกิจและลูกค้า พนักงานขายมีความสำคัญในธุรกิจออนไลน์ ในกรณีที่ลูกค้าต้องการสอบถามรายละเอียดที่ไม่ได้ระบุในเว็บไซด์ หรือ ปัญหาเกี่ยวกับการสั่งซื้อ หรือสินค้าชำรุด
•พนักงานขายทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกถึงการสัมผัสมนุษย์จริง ๆ แทนที่จะใช้เฉพาะระบบอัตโนมัติ
•พนักงานขายบนเว็บไซด์ ทำหน้าที่ ตอบ อีเมล์ ตอบเว็บบอร์ด ปิดการขายโดยการยืนยันคำสั่งซื้อและตอบสนองคำซื้อ

        Privacy (ความเป็นส่วนตัว)
ความรักษาความเป็นส่วนตัว Privacy Policy
การเก็บข้อมูลส่วนตัว
EMail กับ Spammer
แจ้งกฏการรักษาข้อมูลส่วนตัว

        รูปแบบต่างๆ ที่สามารถนามาใช้กับการบริการลูกค้า E-Support
 - การใช้ Email และแบบฟอร์มออนไลน์ในการสื่อสารกับลูกค้า
 - การใช้ Frequently Asked Questions (FAQ)
 - การให้บริการตอบคาถามแบบสด (Live Support)
 - การให้บริการ E-Learning หรือ Interactive Support
 - การให้บริการ download
 - Download Software
 - Download เอกสารต่างๆ

        รูปแบบการส่งสินค้าในประเทศ
 - พนักงานส่งสินค้า (messenger)
 - ไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS)
 - พัสดุไปรษณีย์ลงทะเบียน
 - พัสดุเก็บเงินปลายทาง (พ.ง.ก.)
 - มารับสินค้าที่จุดรับสินค้า


2.นำไปประยุกต์ใช้

สามารถนำประโยชน์มาจัดบริการเว็บของตัวเองได้ ช่วยในส่วนเรื่องการตัดสินใจการขายสินค้า ประยุกต์การใช้งานด้านการขายสินค้าบนเว็บ กำหนดจุดแข็งและจุดอ่อน ของสินค้าเราได้

3.สรุป

ได้ความรู้เกียวกับการทำเว็บ การขายสินค้า และโครงสร้างเว็บมากขึ้น นำมาใช้งานได้จริง อาจารย์ปล่อยไปหน่อย

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น